ในการดำเนินการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยธปท.ได้ออกรายงานเกี่ยวกับเสถียรภาพระบบการเงินในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลและข้อสังเกตที่สำคัญดังนี้: ความเสี่ยงที่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง: รายงานชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงของครัวเรือนและธุรกิจบางกลุ่ม โดยพิจารณาว่าสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ทางการเงินจะต้องระมัดระวังและดูแลรักษาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ให้ดี หากไม่นำไปสู่หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นสูงแบบก้าวกระโดด (NPL cliff) ความสามารถในการชำระหนี้อาจลดลงเป็นอย่างมาก ยิ่งในกรณีครัวเรือนที่รายได้ต่ำหรือที่ยังคงยากจะฟื้นตัว หรือในสถานการณ์ที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ส่วนด้านเฉพาะกิจของธนาคารเช่นลูกหนี้ของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐและบริษัทให้บริการสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ยังมีความเสี่ยงอีกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวอยู่ในปัจจุบันจะช่วยให้ความสามารถในการชำระหนี้ไม่ลดลงรุนแรงหรือขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ความเสี่ยงของภาคธุรกิจที่ผ่านมาระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้: รายงานระบุถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจที่ได้ระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ โดยความสามารถในการระดมทุนอาจย่อมน้อยลงในขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น และระดมทุนอาจทำได้ยากขึ้น สาเหตุสำคัญคืออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ระดมทุนบางรายที่สูงขึ้นหลังจากการผิดนัดชำระหนี้ และการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินยังคงเสถียรภาพและยังคงสามารถออกตราสารหนี้ใหม่โดยรวมได้ตามปกติ นับวันนี้ เสถียรภาพระบบการเงินในประเทศไทยยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องดูแลและติดตาม โดยธปท.จะต้องร่วมมือกับสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ทางการเงินเพื่อรักษาความเสถียรในระบบการเงินและสินเชื่อเงินด่วน SME ขนาดกลางในกรุงเทพและปริมณฑลในระยะต่อไป ถึงแม้จะมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เมื่อมองในภาพรวม ระบบการเงินไทยยังคงมีเสถียรภาพและเติบโตไปอย่างมั่นคงในระยะสั้นและยาวนาน
ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้เป้า 3 ความเสี่ยงการเงิน
2023-10-26